กฎหมายเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า ปี 2565 ใช้แล้วผิดไหม ?
กฎหมายบุหรี่ไฟฟ้า 2565
ถ้าหากพูดถึง “บุหรี่” ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่อยู่คู่คนไทยมานาน ถ้าหากเรามองย้อนกลับไปจะนึกภาพออกเลยว่า เราสามารถพบเห็นการสูบบุหรี่ ได้อยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน หรือตามข้างทาง แต่ในยุคปัจจุบันนี้ ผู้คนเริ่มหันมามองถึงปัญหาสุขภาพกันมากขึ้น และแน่นอนว่า บุหรี่ไฟฟ้า ก็กลายมาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกอันดับต้นๆ ของคนที่พยายามจะเลิกสูบบุหรี่จริง เพราะเหตุนี้เราจึงสามารถพบเห็นการสูบบุหรี่ไฟฟ้า เพิ่มขึ้น เพราะข้อดีที่มีมากของบุหรี่ไฟฟ้าเมื่อเทียบกับบุหรี่จริงหรือเทียบกับบุหรี่มวนแบบเก่า แต่ประเด็นหลักๆที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนก็คงจะไม่พ้นเรื่อง “กลิ่น” หากคุณสูบบุหรี่ไฟฟ้า เรื่องกลิ่นติดตัว กลิ่นเหม็น แม้กระทั่งกลิ่นปาก จะไม่สามารถสร้างความเดือดร้อนให้คนใกล้ตัวอย่างแน่นอน นอกเหนือไปกว่านั้นยังเพิ่มความมั่นใจหากต้องใกล้ชิดเพื่อนร่วมงานหลังจากสูบบุหรี่ไฟฟ้า แต่เชื่อหรือไม่ว่าบุหรี่ไฟฟ้ายังมีข้อดีอีกมากมายนับไม่ถ้วน หากต้องถูกนำไปเปรียบเทียบกับบุหรี่มวนยุคเก่า และนี้เองเป็นสาเหตุของข้อกฏหมายในนานาประเทศ ได้ปลดล๊อคเจ้าบุหรี่ไฟฟ้าออกจากสิ่งผิดกฏหมาย เปิดเสรีให้เป็นทางเลือกสำหรับใครก็ตามที่ต้องการอยากจะเลิกสูบบุหรี่มวนแบบเก่า แต่ไม่ใช่กับประเทศไทยของเรา TT
กฏหมายบุหรี่ไฟฟ้า 2565 กับ ประเทศไทย
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ช่วงก่อนปี 2557 ประเทศไทยเราไม่มีกฏหมายในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า ทำให้ใครก็ตามที่ซื้อ หรือขาย ก่อนปี 2557 ไม่ถูกนับเป็นสิ่งของผิดกฏหมายแต่อย่างใด แต่อย่างที่เราทราบกันเป็นอย่างดี ในยุคสมัยนั้นแม้จะไม่ผิดกฏหมาย แต่การมองหาบุหรี่ไฟฟ้าก็ยากเย็นแสนเข็ญ หากเทียบกับในปัจจุบัน หลายค่ายยังแทบไม่ถือกำเนิด และยังเรียกได้ว่าเป็นที่นิยมน้อยมากสำหรับคนกลุ่มเล็กๆเท่านั้น สาเหตุที่ทำให้มีกฏหมายเกี่ยวกับบุหรี่ฟ้าออกมา เริ่มต้นจากเมื่อครั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กลายมาเป็น นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย และยังออกกฎกระทรวงกระทรวงพาณิชย์ พ.ศ.2557 กลายเป็นทำให้ บุหรี่ไฟฟ้า เป็นหนึ่งในสินค้าที่ผิดกฎกระทรวงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เหตุผลหลักของการแบนบุหรี่ไฟฟ้าในครั้งนี้ หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่ามาจาก เหตุผลง่ายๆ ที่บุหรี่ไฟฟ้าจะเข้ามาทำให้โรงงานยาสูบต้องสูญเสียรายได้จากผู้สูบที่จะต้องการเลิกสูบ และหันมาใช้บุหรี่ไฟฟ้า เป็นจำนวนมากจากการคาดการณ์ และยังคงสูญเสียรายได้จากการที่ผู้สูบส่วนใหญ่ หันไปบริโภคสินค้าลักลอบนำเข้ามา หรือบุหรี่จากนอกมากขึ้นนั่นเอง
บุหรี่ไฟฟ้า ผิดกฎหมายไทยอย่างไรและกฏหมายข้อไหนบ้าง ?
หากเราจะลงลึกถึงรายละเอียดว่า บุหรี่ไฟฟ้าผิดกฏหมายอย่างไรบ้าง เราจะสามารถสรุปได้อย่างไม่ยืดยาวนักว่า
- บุหรี่ไฟฟ้าถูกห้ามไม่ให้มีการนำเข้า และส่งออก ซึ่งมี พ.ร.บ ที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ปี 2522 และบุหรี่ไฟฟ้าถูกเพิ่มเข้าไปในบัญชีรายชื่อสินค้าต้องห้ามนั้น โดยมีโทษการฝ่าฝืนตั้งแต่ จำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือ ถูกปรับเป็นจำนวนเงิน 5 เท่าของมูลค่าสินค้าต้องห้าม หรืออาจจะถูกทั้งจำและปรับ และยังสอดคล้องกับ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 มาตรา 244 ที่ห้ามนำเข้าหรือส่งออก ที่ออกมาภายหลังอีกด้วย
- และยังมีคำสั่ง ของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่ 9/2558 เรื่อง ห้ามขายหรือห้ามให้บริการสินค้า “บารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า” ซึ่งได้นิยามความหมายของบุหรี่ไฟฟ้าเช่นเดียวกับประกาศของกระทรวงพาณิชย์ แต่นอกเหนือจากนั้นยังมีการเพิ่มเติมเนื้อหาของ “ตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า” เพิ่มเติมเข้ามาอีกด้วย
ผู้บริโภคบุหรี่ไฟฟ้า กับ กฎหมายในปัจจุบัน
ในปัจจุบันเริ่มที่จะมีหลายฝ่าย พยายามที่ผลักดันให้บุหรี่ฟ้าถูกกฏหมายมากยิ่งขึ้น ถือว่าอาจจะเป็นจุดเริ่มที่ดี หากเทียบกับกัญชาที่ผ่านไปก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้หลายคนกลับมาตั้งคำถามกับประเทศไทย ว่าการที่ไม่เปิด หรือพยายามปิดกั้นบุหรี่ไฟฟ้า ทั้งๆ ที่ หลายประเทศที่เจริญแล้วอย่าง สหรัฐอเมริกา และ อังกฤษ และอีกหลากหลายประเทศเปิดเสรีให้แก่บุหรี่ไฟฟ้ากลายเป็นสินค้าที่ถูกต้องตามกฏหมาย เหตุผลก็แสนง่ายเพราะประเทศเหล่านั้นมองเห็นถึงคุณประโยชน์ของบุหรี่ไฟฟ้า แม้แต่ด้านสาธารณสุขยังมีตัวเลขที่ชัดเจนว่า บุหรี่ไฟฟ้าทำให้คนเลิกสูบบุหรี่กันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า หากเปิดเสรีให้กับบุหรี่ไฟฟ้า คนที่จะเสียผลประโยชน์อย่างใหญ่หลวงก็คงจะไม่พ้นตัวรัฐบาลเอง เพราะจะทำให้โรงงานยาสูบสูญเสียรายได้มหาศาล แต่ในแง่มุมประโยชน์ของประชาชน และเศรษฐกิจในประเทศ การเปิดเสรีบุหรี่ไฟฟ้า จะมีส่วนช่วยผลักดันให้คนเลิกบุหรี่กันมากขึ้น และเกิดบริษัทที่เกี่ยวข้องในประเทศ เพิ่มเม็ดเงินมหาศาลหมุนเวียนแทนที่ธุรกิจบุหรี่แบบเดิมๆ ได้อย่างแน่นอน
สุดท้ายนี้ก็ได้แต่หวังว่ากหมายเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า จะเกิดการเปิดเสรีขึ้นในเร็ววัน ซึ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้ประเทศของเราตามทันประเทศที่พัฒนาแล้วได้ในที่สุด